(0)
*** ลูกแก้วลูกแก้วสารพัดนึก *** หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน ศิษย์หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา หลวงพ่อโอภาสี บางมด






รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่อง*** ลูกแก้วลูกแก้วสารพัดนึก *** หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน ศิษย์หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา หลวงพ่อโอภาสี บางมด
รายละเอียด*** ลูกแก้วลูกแก้วสารพัดนึก *** หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน ศิษย์หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา หลวงพ่อโอภาสี บางมด

รับประกันความแท้ ตลอดชีพ

ในอดีตย้อนไปซัก 40-50 ปีในแถบหนองมะโมงนี้ค่อนข้างจะทุรกันดาร หรือแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ไกลปืนเที่ยง ด้วยสภาพพื้นที่ที่ชุกชุมไปด้วยชุมโจรปล้นวัวปล้นควายประกอบกับเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ไกลหมอ ไกลเจ้าหน้าที่บ้านเมือง สิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นที่พึ่งในยามตกทุกข์ได้ยากของคนทุกชนทุกชั้นในละแวกนั้นไม่ว่าจะเรื่องเจ็บป่วย ผีเข้าเจ้าสิง ถูกกระทำย่ำยี ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล วัวหายควายพลัด มีเหตุลักขโมย ถูกประทุษร้าย และอีกหลากหลายปัญหานานับประการ ที่ชาวบ้านต้องการที่อาศัยพึ่งพิง ผิสำคัญบุคคลผู้นั้นมิใช่อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ หรือผู้มียศถาบรรดาศักดิ์มาจากไหน แต่กลับเป็นพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีปฏิปทาเคร่งครัดน่าเลื่อมใสและมีวิทยาบารมี พอเป็นที่ผ่อนปรนบรรเทาทุกข์โศกสงเคราะห์สังคมโลกให้ร่มเย็นเป็นสุขได้ ภิกษุรูปนั้นชาวบ้านคุ้นปากกันในนาม “หลวงพ่อเกิด”
ราคาเปิดประมูล249 บาท
ราคาปัจจุบัน319 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ10 บาท
วันเปิดประมูล - 01 ส.ค. 2556 - 19:48:19 น.
วันปิดประมูล - 04 ส.ค. 2556 - 08:40:10 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลรถโฟร์ค (6.4K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 01 ส.ค. 2556 - 19:48:45 น.



หลวงพ่อเกิด หรือพระครูอุดมชัยกิจ เจ้าอาวาสวัดเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท นามเดิม บุญเกิด จันทรา เป็นบุตรของนายกรม จันทรา นางสี จันทรา เกิดเมื่อวันที่ ๔ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ณ บ้านเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท อุปสมบทเมื่อ วันที่ ๕ ธ.ค. พ.ศ.๒๔๙๕ ณ พัทธสีมาวัดเขาดิน โดยมีพระครูสิงหชัยสิทธิ์(ชะอ้อน) วัดพาณิชย์ ต.วัดสิงห์ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการสมทบ วัดศรีสโมสร ต.กุดจอก อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการบรรจง วัดเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ปัณฑิโต” หมายถึง “ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญาฉลาดรอบรู้”

ในปี 2495 หลังจากอุปสมบทแล้วได้จำพรรษาฉลองศรัทธาโยมบิดา โยมมารดา ณ วัดเขาดิน และพอดีในปีนั้นนั่นเองท่านเจ้าขุนวาปินทร์ปรีชา( เจ้าขุนเล็ก )ศิษย์ก้นกุฏิหลวงปู่ศุขที่เป็นศิษย์ฆราวาสรุ่นอาวุโสอีกท่านหนึ่ง ได้จัดให้มีงานไหว้ครูเสาร์ 5 ขึ้นในวาระนี้ท่านขุนวาปินทร์ได้เปิดโอกาสให้บุคคลผู้มีความสนใจใฝ่ศึกษาเวทย์วิทยาต่างๆ ได้เข้ามาศึกษาและประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งมีอยู่หลากหลายวิชาให้ได้เลือกศึกษาตามความสนใจ เช่น เสกหุ่นพยนต์ชกกัน เสกข้าวสารเป็นกุ้ง เสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตนในคราวนั้นมีผู้สนใจเข้าไปศึกษาหลายคนแต่มีผู้สำเร็จและได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาจากท่านเจ้าขุนไม่กี่คนแล้วแต่วาสนาบารมี หลวงพ่อท่านเลือกเรียนวิชาเฑาะว์มหาปราบ วิชาเสกหมาก และทำน้ำมนต์แก้พิษหมาบ้า และท่านก็สามารถทำได้สำเร็จและได้รับการประสิทธ์ประสาทจากเจ้าขุนวาปินทร์ ซึ่งในคราวนั้นมีท่านเพียงรูปเดียวที่ได้รับการครอบครูวิชานี้ หลังจากที่ท่านสำเร็จวิชานี้แล้วไม่ว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน ย่อมจะมีหมาบ้าตามไปทุกที่ ท่านจึงต้องทำน้ำมนต์ทิ้งไว้เพื่อสงเคราะห์แก่สัตว์เหล่านั้น


ข้อมูลเพิ่มเติม 2 - 01 ส.ค. 2556 - 19:49:06 น.



ในปี 2496 ท่านจึงไปศึกษาพระปริยัติธรรมและกรรมฐานเบื้องต้นในสำนักวัดสิงห์ในสมัยที่พระครูชะอ้อนองค์อุปัฌชาย์เป็นเจ้าสำนัก พระครูชะอ้อนท่านนี้เป็นเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดกับองค์หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคคลองมะขามเฒ่าและพระครูชะอ้อนท่านนี้แหละที่เป็นแม่งานใหญ่ในการจัดการงานศพหลวงปู่ศุข ด้วยความใกล้ชิดทั้งพระครูชะอ้อนและอาจารย์ฆราวาสในละแวกบ้านตลาดวัดสิงห์อีกหลายท่านที่เป็นศิษย์สายตรงในองค์หลวงปู่ศุข ประกอบกับความใฝ่รู้ หลวงพ่อท่านจึงได้ซึมซับศึกษาสรรพวิทยาการในสายหลวงปู่มาพอสมควร ทั้งวิชาปรอท วิชาเสกขี้ผึ้ง จากหมอเฒ่าสุก อาจารย์ของท่านเสกขี้ผึ้งบนฝ่ามือให้เป็นน้ำได้อย่างอัศจรรย์ ท่านจึงได้เรียนรู้หลักในการใช้ธาตุ ตั้งธาตุต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสรรพวิชาและเคล็ดคาถาอีกบางบท ที่ท่านได้ตั้งแต่ในพรรษาต้นๆ อย่างเช่นการทดลองวิชาหายตัว โดยท่านจะต้องถอดเคล็ดวิชาที่ครูเฒ่าให้เป็นปริศนาไว้ ซึ่งตามตำรากล่าวว่าเคล็ดวิชาจะประสิทธิ์หรือไม่ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของผู้เรียนหากวาสนาต้องกันก็จะมีปัญญาแตกฉานสามารถคิดอ่านแก้กลบทที่โบราณจารย์วางไว้ได้อย่างถูกต้อง เคล็ดวิชานี้มีปริศนาไว้ว่า “ไม่มีไม้อยู่ใต้กรณีย์” หลวงพ่อท่านจึงเอามาเจริญกรรมฐานใคร่ครวญปรากฏเป็นอักขระสี่ตัวได้อย่างง่ายดาย แสดงถึงวาสนาบารมีที่สั่งสมมาแต่หนหลัง เมื่อท่านได้หัวใจคาถาแล้วท่านจึงทดลองเขียนอักขระหัวใจคาถานั้นลงก้นบาตรแล้วบริกรรมภาวนาไปด้วยในขณะออกบิณฑบาต ปรากฏว่าเช้าวันนั้นชาวบ้านใส่บาตรข้ามท่านไปหมดเสมือนมองไม่เห็นท่าน สร้างความประหลาดใจแก่หมู่เพื่อนภิกษุที่ร่วมออกภิกขาจารด้วยกัน และในปีเดียวกันนี้ท่านมีโอกาสได้พบกับ อาจารย์ชื้นศิษย์สำนักเขาสาลิกา และอาจารย์ชื้นท่านนี้เองที่เป็นผู้เชื้อเชิญให้ท่านได้ไปนมัสการหลวงพ่อเขาสาลิกา ที่สำนักเขาสาลิกา จ.ลพบุรี ท่านเล่าว่าหลวงพ่อเขาสาลิกาท่านไม่พูด ท่านจุดเทียนตั้งไว้ 6 เล่มแล้วใช้มือดับทีละเล่มจนเหลือเทียนเล่มเดียวท่านจึงหยิบเทียนเล่มนั้นขึ้นมานั่งเพ่งเท่านั้น ท่านว่าเป็นปริศนาธรรมเกี่ยวกับการสอนเรื่องอายตนะภายใน-ภายนอก เมื่อหลวงพ่อได้พบได้เห็นปฏิปทาเช่นนั้นประกอบกับได้ยินได้ฟังวัตรปฏิบัติที่ไม่เหมือนใครและอิทธิปาฏิหาริย์ที่สุดแสนจะพิสดารของหลวงพ่อเขาสาลิกาก็ทำให้ท่านเกิดความเคารพเลื่อมใสจึงได้สมาทานตัวเป็นศิษย์เรื่อยมา


ข้อมูลเพิ่มเติม 3 - 01 ส.ค. 2556 - 19:49:29 น.



แม้ท่านจะไม่ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อโอภาสีโดยตรง แต่ท่านก็นับถือหลวงพ่อโอภาสีเป็นครูบาอาจารย์ของท่านอีกรูปหนึ่งซึ่งมีวัตรปฏิบัติคล้ายกันกับหลวงพ่อเขาสาลิกาเชื่อกันว่าท่านทั้ง 2 รูปสามารถสื่อถึงกันได้ ความสัมพันธ์ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงพ่อโอภาสีนี้ผู้เขียนได้เรียนถามท่านแล้ว ท่านว่าได้พบปะพูดคุยกันธรรมดาที่อาศรมบางมด และยังกล่าวอีกว่าที่อาศรมบางมดมีรูปปั้นและสัญลักษณ์ต่างๆที่เป็นปริศนาธรรม ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาอะไรมาจากไหนหลวงพ่อโอภาสีท่านสามารถสอดแทรกคำสอนลงไปได้หมด เรื่องการแจกพระธาตุอีกเรื่องท่านว่าคนจะมามากสักเท่าไรหลวงพ่อโอภาสีท่านก็แจกได้ครบทุกคนไม่มีหมด วัตถุมงคลบางอย่างเป็นต้นว่า รูปสรงน้ำ แผ่นยันต์อิติสุคะโตฯ เหรียญพลาสติก และลูกแก้ว ผู้เขียนยังเห็นตกค้างอยู่ที่วัดเขาดินจำนวนหนึ่ง วัตถุมงคลบางอย่างท่านก็นำมาถอดแบบ เช่น เหรียญพลาสติกของหลวงพ่อโอภาสีท่านก็นำมาถอดแล้วพิมพ์ด้วยเนื้อดินผสมว่านในปี2508 รูปหลวงพ่อในยุคแรกๆก็ยังพบว่าทำเป็นรูปถ่ายประกบกันกับหลวงพ่อโอภาสี แต่รูปประกบกับหลวงพ่อเขาสาริกายังไม่เคยพบ

ปี 2497 ได้พบกับ อ.เฉลิม ซึ่งในขณะนั้น อ.เฉลิม กำลังทำการเผยแพร่วิชา 12 ภาษาปรากฎมีผู้สนใจศึกษากันพอสมควร ในคราวนั้นหลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู จ.นครสวรรค์ ก็ได้เข้าร่วมศึกษาด้วย แต่วิชานี้เมื่อหลวงพ่อท่านได้นำมาใคร่ครวญแล้ว ปรากฏว่าตรงกันกับตำราเก่า ของพระธุดงค์ทั้ง4 ที่มาพำนักตั้งแต่ปี 2460-2462 ทั้ง4ท่านล้วนแต่เป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองฯทั้งสิ้น พระธุดงค์ทั้ง4 นี้ถือได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดวัดเขาดินเลยทีเดียว ท่านได้สร้างรอยพระพุทธบาท และทิ้งตำราเวทย์ต่างๆไว้เป็นปฐมบทให้กุลบุตรผู้สนใจได้ศึกษา เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สาธารณะชนคนยาก พอให้ได้เป็นที่พึ่งพิงและศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านสืบต่อไป วิชา 12 ภาษานี้เป็นวิชาที่ว่ากันว่าผู้ทำสำเร็จจะสามารถทำสมาธิจิตให้ไปสัมผัสกับภพภูมิจิตในระดับต่างๆทั้ง 31 ภูมิได้ แม้ในภูมิมนุษย์เองก็สามารถฟังและสื่อสารกับวิญญาณชาวต่างชาติที่ใช้ภาษาอื่นๆได้ตามที่ภพภูมิจิตไปสัมผัส และที่พิสดารอีกประการหนึ่งก็คือ ใครก็ตามที่มีกรรมเกี่ยวพันกับเราทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติเมื่อจะถึงคราวตาย หรือจะประสบเคราะห์กรรมรุนแรง เจตภูติของเขาจะพยายามสื่อให้เราทราบล่วงหน้าได้


ข้อมูลเพิ่มเติม 4 - 01 ส.ค. 2556 - 19:49:51 น.



ปี 2498 ได้ไปศึกษาและปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางของหลวงพ่อเขาสาลิกาอย่างจริงจังกับท่านอาจารย์ชื้น ที่บ้านวัดพระยาตาก อาจารย์ชื้นผู้นี้เป็นศิษย์ฆราวาสคนสำคัญอีกท่านหนึ่งที่สืบสานกรรมฐานสายหลวงพ่อเขาสาลิกา ภายหลังได้บวชและรู้จักกันในนามหลวงพ่อชื้น วัดเขาพลอง หลวงพ่อเกิดได้ศึกษากับท่านอาจารย์ชื้นตั้งแต่อาจารย์ชื้นยังดำรงเพศเป็นฆราวาส ได้ฝึก การแยกรูป –นาม แยกกองกรรมฐานก่อนเป็นอันดับแรก เรียกว่า “ขันธ์สาม” คือพิจารณา เกศา โลมา นะขา.... ฯ ทั้งหมดที่จัดเป็นธาตุดินมารวมกันเป็น ขันธ์ทอง ราคัคคิ พิจารณา บุพโพ โลหิตัง อัสสุ....ฯ ทั้งหมดที่เป็นธาตุน้ำ มารวมกันเป็นขันธ์เงิน โมหัคคิ พิจารณา ไฟยังร่างกายให้อบอุ่น ไฟเผาผลาญอาหารให้ย่อย ..ฯทั้งหมดที่จัดเป็นธาตุไฟ มารวมกันเป็นขันธ์นาก โทสัคคิ รู้เหตุแห่งการเกิดเห็นความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จากนั้นพิจารณาให้เป็นธาตุ และพิจารณาให้เป็นคุณธาตุตามลำดับ ขั้นตอนที่สอง เรียกว่า “ขันธ์ห้า” รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณาขันธ์ทั้ง 5 ให้เห็นเป็นไตรลักษณ์คือทุกขัง อนิจจัง อนัตตาแต่ทั้ง 5 ประการนี้ยังเป็นทุกข์เป็นโทษอยู่ จึงต้องมีธาตุรู้อีกประการหนึ่งคือ “วิมุติ” ส่วนขั้นสุดท้ายนั้นผู้เรียนจะต้องใช้อำนาจศีล สมาธิ ปัญญาของตนค้นหาความสัจธรรมด้วยตัวเอง และยังมีอยู่อีกขั้นตอนหนึ่งที่เรียกว่า “อัดขันธ์พุทโธ” โดยผู้ปฏิบัติจะต้องภาวนา “พุทโธๆ” ให้ติดต่อกันมิให้ขาดจิต โดยส่วนตัวของหลวงพ่อเองนั้นท่านเล่าว่าท่านภาวนาถึงขนาดที่หงายท้องตึงลงไปทีเดียว ท่านรู้สึกว่ากายละเอียดของท่านแยกออกจากกายหยาบมีอาการเหมือนพุ่งเหาะออกไป จากนั้นจะน้อมนึกไปสถานที่ใดจิตก็จะไปยังสถานที่นั้นในทันที แต่ท่านอาจาร์ชื้น ท่านว่า ตึงไปๆให้พอดีๆมัชชิมาปฎิปทา ลมอัสสาสะและลมปัสสาสะให้เสมอกัน ลมอัสสาสะหายใจเข้า พระสูตร21000 สัญญาเกิด ที่ใต้สะดือสองนิ้ว ลมปัสสาสะ หายใจออก พระวินัย 21000 สัญญาดับ ที่ปลายจมูก พระอภิธรรม 42000 กลางลิ้นปี่ สัญญาไม่เกิดไม่ดับเป็นอมตธรรม ตลอดเวลาที่หลวงพ่อท่านปฏิบัติอยู่นั้นท่านอาจารย์ชื้นจะทำการสอบจิตอยู่เสมอเพื่อมิให้ไขว้เขวผิดแนวทาง

ปี 2499– 2500 ออกจาริกธุดงค์ปลีกวิเวกกระทำความเพียรทางจิต โดยมุ่งหน้าไปทางเหนือผ่านขึ้นไปทางนครสวรรค์ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ท่านได้ปักกลดในพื้นที่ อ.ท่าตะโก ตรงกันข้ามกันกับวัดหัวถนนหลังจากปักกลดลงแล้วปรากฏว่ามีชาวบ้านแห่กันมาให้ท่านรักษาเนื่องจากถูกหมาบ้ากัดนับสิบราย ทั้งๆที่ท่านก็เพิ่งมาปักกลดและชาวบ้านก็ยังไม่รู้จักท่านแต่ช่างน่าฉงนว่าชาวบ้านเหล่านั้นทราบได้อย่างไรว่าหลวงพ่อท่านมีวิชาที่สามารถรักษาอาการหมาบ้าได้ วันรุ่งขึ้นท่านย้ายไปปักกลดที่เขาโคกเผ่นและในคืนนั้นนั่นเองปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก รุ่งเช้าชาวบ้านหัวถนนที่ได้รับการรักษาโรคพิษหมาบ้าบ้างชาวบ้านในละแวกนั้นบ้างต่างพากันมานมัสการหลวงพ่อด้วยความเป็นห่วงด้วยว่าเมื่อคืนฝนฟ้าคะนองอย่างหนักเกรงว่าท่านคงจะเปียกปอนหรืออาจจะป่วยไข้ได้ แต่ทุกคนต่างก็พบกับความพิศวงงงงวย เมื่อปรากฎว่าบริเวณพื้นที่ที่ท่านปักกลดอยู่นั้นไม่มีน้ำฝนสักหยดทั้งๆที่รัศมีโดยรอบมีน้ำขังเจิ่งนองเต็มไปหมด
ปี 2501-2506 กลับมาเยี่ยมโยมบิดามารดาและออกธุดงค์ต่อจนกระทั่งกลับมาพบสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติและมีนิมิตมหัศจรรย์ให้ต้องจำพรรษาและถือได้ว่าเป็นภิกษุรูปแรกที่เปิดถ้ำเขาตะพาบ จ.อุทัยธานีในถ้ำแห่งนี้หลวงพ่อพบกับความมหัศจรรย์ในโลกวิญญาณมากมายโดยเฉพาะเรื่องพระธาตุ
หลวงพ่อเล่าว่าถ้ำเขาตะพาบแห่งนี้มีความวิจิตรพิสดารเป็นอย่างมาก มีถ้ำมหาสมบัติซึ่งเป็นของลับแลถึง 3 ถ้ำคือถ้ำทอง ถ้ำเงิน และถ้ำนาก ถ้ำทองนั้นมีนกสาลิกาเฝ้า ถ้ำเงินงูสามสีเฝ้า ถ้ำนากมีตะขาบเฝ้า ช่วงเข้าพรรษาหลวงพ่อได้ตั้งปฏิญาณอธิษฐานจิตว่าจะเข้ากรรมฐาน 7 วัน 7 คืนโดยไม่ฉันอาหารเลย แต่ด้วยบรรดาศรัทธาญาติโยมไม่ทราบเจตนารมณ์ของท่าน เมื่อเห็นท่านหายไปชาวบ้านจึงต่างกันตามมาหาท่าน ซึ่งนึกว่าท่านนั่งมรณภาพด้วยความเป็นห่วงจึงต่างกันจับท่านเขย่าบ้างตะโกนเรียกให้ท่านได้ฟื้นคืนสติบ้าง จึงทำให้ท่านต้องถอนออกจากสมาธิ หลังจากนั้นไม่นานท่านเกิดอาการอัมพฤกษ์ปากเบี้ยวพูดไม่ได้ขึ้นมาเฉยๆท่านกำหนดรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุที่ท่านผิดสัจจะที่อธิษฐานไว้นั่นเอง ท่านจึงตั้งสัจจะอธิษฐานใหม่ไม่นานอาการอัมพฤกษ์ก็หายไปเอง


ข้อมูลเพิ่มเติม 5 - 01 ส.ค. 2556 - 19:50:46 น.



ครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ท่านออกจากกรรมฐาน ในขณะที่ท่านเดินออกมาถึงปากถ้ำ เจ้านกสาลิกาก็บินตกลงมาตายต่อหน้าท่าน ท่านได้ทำการเผาร่างให้ เมื่อกองเพลิงมอดไหม้ลงไปหมดแล้วปรากฏก้อนโลหะสัณฐานเท่าลูกแก้วมีวรรณณะเป็นสีทองสุกปลั่งเป็นที่อัศจรรย์ ภายหลังคดทองนี้ท่านได้บรรจุไว้ในองค์พระประธาน
ต่อมาก่อนที่งูสามสีจะตายนั้น มันก็เลื้อยออกมานอนตายต่อหน้าหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านกำหนดจิตไตร่ตรองดูแล้วจึงพอทราบว่าเจ้างูสามสีซึ่งเป็นงูเจ้าที่ต้องการให้หลวงพ่อแผ่เมตตาและปลดปล่อยวิญญาณให้ หลวงพ่อกำหนดจิตแผ่เมตตาอนุโมทนาบุญกรรมอันเป็นกุศลที่เจ้างูสามสีได้ปฏิบัติหน้าที่และได้ทำการเผาร่างให้ปรากฏว่าเมื่อไฟมอดลงแล้วบังเกิดเป็น คดเงิน ก้อนกลมๆอย่างแปลกประหลาด คดเงินนี้หลวงพ่อได้ทำหัวแหวนแล้วมอบให้น้องชายท่านไป น้องชายท่านได้ครอบครองได้ไม่นานแหวนคดเงินนั้นก็อันตรธานหายไปจึงมาบออกกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อท่านลองไปเปิดตลับที่เก็บคดเงินนั้นไว้แต่เดิม ปรากฏว่าแหวนคดเงินนั้นกลับมาอยู่ที่เก่าได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ส่วนตะขาบที่เฝ้าถ้ำนากนั้นตามมาตายต่อหน้าหลวงพ่อที่วัดเขาดินนี้เลยทีเดียวแต่ไม่ทราบว่าให้คดไว้หรือไม่
ในระหว่างนั้นท่านได้ไปเชิญพระธาตุที่เขาบางแกรก เหตุเพราะชาวบ้านไล่ยิงเก้งที่วิ่งหนีเข้าไปในถ้ำถ้ำหนึ่งเมื่อเข้าถ้ำไปแล้ว ไม่ว่าชาวบ้านผู้นั้นจะเหนี่ยวไกยิงสักกี่ครั้งดินปืนก็ไม่ทำงาน หลวงพ่อจึงทราบได้ว่ามีของกายสิทธิ์อยู่ในถ้ำ การเดินทางไปเขาบางแกรกในคราวนั้นหลวงพ่อได้พบกับ หลวงพ่อชีปะขาวหายพระผู้ทรงอภิญญาอีกรูปหนึ่งที่ชาวบ้านในละแวกนั้นพบเห็นมาช้านาน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นใครมาจากไหน รุ่งเช้าท่านก็มาปรากฏในรูปของพระภิกษุห่มผ้าสีกรักบ้าง บางคราวก็นุ่งขาวห่มขาวแบบชีปะขาวบ้าง ชาวบ้านแปลกใจจึงได้พยามสะกดรอยตามพอถึงริมลำน้ำชาวบ้านก็แอบดูปรากฎว่าเผลอแผลบเดียวหลวงพ่อท่านข้ามไปฝั่งโน้นได้ในพริบตาชาวบ้านจึงเรียกกันว่าหลวงพ่อชีปะขาวหาย ในระหว่างที่ท่านเจริญกรรมฐานอยู่นั้นหลวงพ่อชีปะขาวก็จำแลงเป็นพญานาคมาในนิมิตหลวงพ่อสามารถหยั่งรู้ได้ด้วยสมาธิจิตว่านี่คือวิญญาณธาตุของหลวงพ่อชีปะขาว จึงได้ใช้วิถีจิตติดต่อพูดคุยกัน หลวงพ่อชีปะขาวบอกสถานที่ที่เก็บรักษาพระธาตุรวมทั้งของกายสิทธิ์ต่างๆ สุดท้ายท่านแนะนำหลวงพ่อว่า “อย่าติดฌานนะคุณ เดี๋ยวจะต้องเฝ้าสมบัติอย่างผม”
ปี 2507 ชาวบ้านและบรรดาญาติโยมจึงได้ร่วมใจนิมนต์ท่านมาจำพรรษา ณ วัดเขาดินท่านจึงได้ทำการปกครองวัดเขาดินตั้งแต่นั้นสืบมาจนถึงปัจจุบันและนับได้ว่าเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกที่ดำรงตำแหน่งได้นานที่สุด เนื่องจากก่อนหน้านั้นเจ้าอาวาสแต่ละรูปล้วนมีเหตุให้สึกหาลาเพศไปด้วยเหตุต่างๆ ว่ากันว่าเจ้าเขาแห่งนี้แรงนักแต่ท่านก็แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าท่านสามารถปกครองได้ทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรม-และนามธรรม จนกระทั่งก่อให้เกิดความเจริญตราบเท่าปัจจุบัน


 
ราคาปัจจุบัน :     319 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     10 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    moo35 (87)

 

Copyright ©G-PRA.COM