(0)
เหรียญกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หลังพระนารายณ์ทรงครุฑ รุ่นพลังแผ่นดิน ปี 2519 รัชกาลที่ 9 เสด็จในพิธีพุทธาภิเษก ปลุกเสกโดยหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และเกจิมากมาย






รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องเหรียญกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หลังพระนารายณ์ทรงครุฑ รุ่นพลังแผ่นดิน ปี 2519 รัชกาลที่ 9 เสด็จในพิธีพุทธาภิเษก ปลุกเสกโดยหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และเกจิมากมาย
รายละเอียดเหรียญกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หลังพระนารายณ์ทรงครุฑ รุ่นพลังแผ่นดิน ปี 2519 รัชกาลที่ 9 เสด็จในพิธีพุทธาภิเษก ปลุกเสกโดยหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และเกจิมากมาย

เหรียญจัดเป็นเหรียญที่มีพุทธคุณสูงมากในทางอำนาจ ราชศักดิ์ เหนือดวง เหมาะมาก ๆสำหรับ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ไปที่ใดมีแต่ชนะ เหนือคนอื่น เหนือลูกน้อง ด้วยอ้างถึง พระปรีชาสามารถของกรมวังหน้าที่รบไม่เคยแพ้ใคร เป็นหนึ่งในแผ่นดิน

ด้านหน้าเป็นพระรูปนั่งบัญชาการ ด้านหลังเป็นนารายณ์ทรงครุฑ จัดเป็นเหรียญที่สร้างรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ด้านอำนาจ ปกครอง โดยตรงทีเดียว

ของดี ๆ ไม่ควรพลาดนะครับ

พระราชประวัติกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (เฉลิมพระเกียรติ)

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้เสวยราชสมบัตินั้น พระชนม์มายุได้ ๔๖ พรรษา ได้มีพระราชโองการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ดำรัสให้พระอนุชา (บุญมา) ซึ่งมีพระชนม์มายุได้ ๓๘ พรรษา เสด็จเถลิงราชมไหศวรรย์ ณ ที่พระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล รับพระราชบัณฑูรประทับ ณ พระราชวังบวร (วังหน้า) ทรงอำนาจว่าราชการพระนครกึ่งหนึ่ง เรียกพระนามว่า “สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา” ที่ชนในสมัยนั้นเรียกเป็นคำสามัญว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัววังหน้า” หรือมีอีกพระนามหนึ่งที่เรียกกันก็คือ “พระเจ้าเสือ”

สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้ทรงสร้าง พระราชวังหน้าขึ้นเป็นพระราชวังที่ประทับใกล้ชิดกับพระราชวังหลวง มีป้อม มีโรงช้าง โรงม้า ศาลาลูกขุน คลัง เป็นต้น เรียกได้ว่าสิ่งใดที่มีปรากฏอยู่ในพระราชวังหลวงแล้วก็คงมีที่พระราชวังบวร ซึ่งเป็นวังหน้านั้นดุจกัน

ฝ่ายตำแหน่งขุนนางข้าราชการข้างวังหน้านั้น สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา ก็มีพระบัณฑูรโปรดแต่งตั้งข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง โดยควรแก่ความชอบตามลำดับฐานานุศักดิ์ ครบตามตำแหน่งในพระราชวังหน้าดุจวังหลวงทั้งสิ้น และโปรดให้สร้างพระตำหนักหมู่หนึ่งขึ้นในพระราชวังหน้า ยกหลังคาเป็น ๒ ชั้นคล้ายพระวิมาน เป็นที่ประทับของเจ้าศิริรจนาผู้เป็นเอกอรรคชายาเดิมของพระองค์ แล้วสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จลงมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกที่วังหลวง



กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เป็นพระนามของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้าในรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมักจะมีข้อถกเถียงกันอยู่เสมอว่า ควรออกพระนามอย่างไรจึงจะถูกต้องที่สุด เพราะนอกจากทั้ง ๒ พระนามนี้แล้ว ยังปรากฏในคำจารึกที่ฐานพระบวรราชานุสาวรีย์ซึ่งประดิษฐาน ณ ลานวิหารโพธิ์ลังกา วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์จารึกไว้ว่า "สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท" พระนามของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๑ ที่ถูกต้องที่สุด คือ "สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท".



เหรียญกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทหลังนารายณ์ทรงสุบรรณ ในหลวงทรงเสด็จในพิธีมหาพุทธาภิเษก พ.ศ.2519 หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ปลุกเสก



การทำศึกสงคราม

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงร่วมศึกสงครามขับไล่อริราชศัตรูปกป้องพระราชอาณาจักรตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ได้เสด็จไปในการพระราชสงครามทั้งทางบก และทางเรือ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถึง 16 ครั้ง และในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อีก 8 ครั้ง ได้แก่

พ.ศ. 2310 ตีค่ายโพธิ์สามต้นของข้าศึก


พ.ศ. 2311 ตีค่ายพม่าที่บางกุ้ง และที่สมุทรสงคราม ขณะนั้นทรงมีบรรดาศักดิ์เป็น พระมหามนตรี และเสด็จไปรับพระเชษฐาธิราช จาก อำเภออัมพวา เข้ามารับราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และทรงรับสถาปนาเป็น พระราชวรินทร์


พ.ศ. 2311 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงยกกองทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพิษณุโลก และยกไปปราบชุมนุมเจ้าพิมายที่นครราชสีมา พระมหามนตรี และพระราชวรินทร์ได้ร่วมการสงครามที่ด่านขุนทด มีชัยชนะในเวลา 3 วัน ความชอบในการสงครามครั้งนี้ พระราชวรินทร์ได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระมหามนตรี เป็นพระยาอนุชิตราชา จางวางตำรวจ
พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระยาอนุชิตราชา ยกทัพไปปราบกรุงกัมพูชา ตีได้เมืองเสียมราฐ


พ.ศ. 2313 พระยาอนุชิตราชาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ เป็น พระยายมราช ได้ยกทัพไปร่วมกับทัพหลวงปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ตีได้เมืองสวางคบุรี และได้หัวเมืองเหนือไว้ในพระราชอำนาจทั้งหมด เมื่อเสร็จราชการศึกครั้งนี้ ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก เป็นผู้ปกป้องพระราชอาณาจักรฝ่ายเหนือ และได้ยกทัพไปตีทัพโปมยุง่วนที่มาล้อมเมืองสวรรคโลก


พ.ศ. 2315 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ได้ยกทัพไปปราบพม่าที่ยกมาตีเมืองลับแล หรืออุตรดิตถ์ และเมืองพิชัยจนแตกพ่ายไป


พ.ศ. 2316 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และพระยาพิชัย ได้ยกทัพไปรบถึงประจัญบาน กับทัพโปสุพลาที่เมืองพิชัย จนข้าศึกแตกพ่าย ครั้งนี้เองที่พระยาพิชัยได้รับสมญานามว่า "พระยาพิชัยดาบหัก"


พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งขณะนั้นเป็น เจ้าพระยาจักรี กับเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ยกทัพหัวเมืองเหนือไปตีเมืองเชียงใหม่ มีชัยชนะ และเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราชได้คุมทัพเหนือไปล้อมทัพพม่าที่เขาชะงุ้ม ตีค่ายพม่าที่เขาชะงุ้ม และปากแพรกแตกจนพม่ายอมแพ้

พ.ศ. 2318 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และเจ้าพระยาจักรี ได้รับพระราชบัญชาให้ยกทัพจากพิษณุโลกไปขับไล่โปสุพลา ที่ยกมาตีเมืองเชียงใหม่ และต่อมาอะแซหวุ่นกี้ ยกมาล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาทั้งสองจึงนำไพล่พลออกจากพิษณุโลกไปตั้งมั่นที่เมืองเพชรบูรณ์ ต่อมาพม่าถอนกำลัง จึงได้คุมกำลังเมืองนครราชสีมาติดตามตีทัพที่กำลังถอยแตกกลับไป


พ.ศ. 2320 ได้ยกทัพจากกรุงธนบุรีไปสมทบทัพเจ้าพระยาจักรีที่นครราชสีมา ตีเมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองอัตบือ สุรินทร์ สังขะ ขุขันธ์ ไว้ได้ จากความชอบในการพระราชสงครามครั้งนี้ เจ้าพระยาจักรี ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก"


พ.ศ. 2321 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช เกณฑ์ทัพเรือจากกัมพูชา ไปล้อมเมืองเวียงจันทน์ 4 เดือนจึงตีได้ และตีหัวเมืองต่างๆ ในแคว้นลาวจนจดตังเกี๋ยของญวนไว้ได้ด้วย และในครั้งนั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อัญเชิญพระพุทธมหามุนีรัตนปฏิมากร กลับคืนเวียงจันทน์มาประดิษฐานที่กรุงธนบุรีด้วย
พ.ศ. 2324 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช เป็นแม่ทัพหน้าร่วมกับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีกัมพูชา แต่ต้องเสด็จกลับกรุงธนบุรี เนื่องจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระประชวร บ้านเมืองเกิดจลาจล สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เสด็จปราบดาภิเษก

เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์ และสถาปนากรุงเทพมหานคร เป็นราชธานี เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระนามนี้ต่อมาพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกำหนดระเบียบเกี่ยวกับพระเกียรติเจ้านาย ให้ขานพระนามว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท



เหรียญกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทหลังนารายณ์ทรงสุบรรณ ในหลวงทรงเสด็จในพิธีมหาพุทธาภิเษก พ.ศ.2519 หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ปลุกเสก




ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงร่วมการพระราชสงคราม ระหว่าง พ.ศ. 2325 ถึง พ.ศ. 2345 รวม 8 ครั้ง คือ

พ.ศ. 2328 สงครามเก้าทัพ รบกับทัพพระเจ้าปดุง ที่ยกทัพเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ แม้มีไพร่พลน้อยกว่าข้าศึก แต่ทรงทำกลอุบายลวงข้าศึก จนสามารถมีชัยชนะ ในปีนั้น ยังได้เสด็จนำทัพเรือไปตีพม่าที่ไชยา และเสด็จไปปราบปัตตานีที่เอาใจออกห่าง และตีเมืองกลันตัน ตรังกานู เป็นเมืองขึ้นของไทยด้วย


พ.ศ. 2329 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จนำทัพไปรบกับพระเจ้าปดุง ที่เข้ามายึดตำบลท่าดินแดง และสามสบ ได้ตีทัพพม่าแตก


พ.ศ. 2330 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จยกทัพไปตีเมืองลำปางคืน และตีทัพพม่าที่ป่าซางแตก เสร็จการสงครามนี้ ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากเมืองเชียงใหม่ มาประดิษฐาน ณ พระราชวังบวรสถานมงคล ที่กรุงเทพฯ


พ.ศ. 2336 เสด็จไปตีเมืองทวายสำเร็จ
พ.ศ. 2340 เสด็จยกทัพไปป้องกันเมืองเชียงใหม่ ตีพม่าที่ลำพูน และเชียงใหม่แตก


พ.ศ. 2345 ได้เสด็จไปขับไล่กองทัพข้าศึกออกจากเชียงใหม่ แต่เมื่อเสด็จไปถึงเมืองเถิน ทรงพระประชวรโรคนิ่ว ต้องประทับรักษาพระองค์เมื่อเสด็จกลับกรุงเทพฯ พระอาการประชวรกำเริบ ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2346 พระชนมายุ 60 พรรษา

นอกจากจะทรงอุทิศพระองค์เสด็จไปในการศึกสงครามกอบกู้เอกราช และป้องกันพระราชอาณาจักรตลอดพระชนมชีพ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยังทรงเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่บ้านเมือง ทรงอุปถัมภ์บำรุงการพระศาสนา ศิลปวรรณกรรม และสถาปัตยกรรม เป็นต้นว่า โปรดให้สร้าง พระราชวังบวร (ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โรงละครแห่งชาติ และวิทยาลัยนาฎศิลป์) ทรงสร้างกำแพงพระนครตั้งแต่ประตูวัดสังเวชวิศยารามจนถึงวัดบวรนิเวศ และทรงสร้างป้อมอิสินธร ป้อมพระอาทิตย์ ป้อมพระจันทร์ ป้อมยุคนธร (ซึ่งรื้อลงแล้ว) คงเหลือแต่ป้อมพระสุเมรุ และทรงสร้างประตูยอดของบรมมหาราชวัง คือ ประตูสวัสดิโสภา ประตูมณีนพรัตน์ ประตูอุดมสุดารักษ์ และทรงสร้างโรงเรือที่ฟากตะวันตก ทรงสถาปนาวัดมหาธาตุ วัดชนะสงคราม (วัดตองปุ) วัดโบสถ์ วัดเทวราชกุญชร (วัดสมอแครง) วัดราชผาติการาม (วัดส้มเกลี้ยง) วัดปทุมคงคา (วัดสำเพ็ง) วัดครุฑ วัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก) วัดสุวรรณดาราราม ทรงสร้างหอมณเฑียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วิหารคต วัดเชตุพนฯ เป็นต้น พระปรีชาสามารถ และพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติเป็นที่แซ่ซร้องสดุดีเทิดทูนของพสกนิกร ไทยตลอดมา

อ้างอิง : http://www.amuletcenter.com/product.detail_897246_th_5917704
ราคาเปิดประมูล80 บาท
ราคาปัจจุบัน100 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูล - 10 ก.ย. 2562 - 15:02:51 น.
วันปิดประมูล - 11 ก.ย. 2562 - 20:35:22 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลcunchit (3.4K)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     100 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     20 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    bordin_coin (1.7K)

 

Copyright ©G-PRA.COM